วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

เปรียบเทียบความแตกต่างค่า Page Rank และ ค่า Index Web E - Business


เว็บไซต์ที่มีค่า Page Rank สูง คือ www.microsoft.com
         

จากการสำรวจของ Google มีค่า Page Rank อยู่ในระดับ 7 และค่า Index จำนวน 776,000 ครั้ง





เว็บไซต์ที่มีค่า Page Rank น้อย คือ www.mistine.co.th


จากการสำรวจของ Google มีค่า Page Rank อยู่ในระดับ 3 และค่า Index จำนวน 14,300 ครั้ง

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ให้ น.ศ. ฟังบรรยายเรื่อง "Online Business with Google" แล้วปฏิบัติดังนี้

ให้ น.ศ. ฟังบรรยายเรื่อง "Online Business with Google" แล้วปฏิบัติดังนี้
 1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของ น.ศ.
 2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมาย เพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ
แล้วสรุปใน Web Blog
1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของ น.ศ.
ระบบสังคมออนไลน์ต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการระหว่างกันในการเลือกสินค้าและบริการ ด้วยการนำ ZMOT มาใช้ ZMOT ซึ่ง คือการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟนซื่งจะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ZMOD ย่อมาจาก Zero Moment of Truth จุดก่อนกำเนิดของกระบวนการคิดและกระบวนการซื้อสินค้า 
ผู้ดำเนินธุรกิจต้องประยุกต์มาใช้ดิจิตอล 3.0 ที่สามารถค้นเจอบนหน้าของการค้นหาของ Google ได้ ซึ่งการค้นหาพบได้นั้นจะต้องมีปัจจัยประกอบดังนี้
1  Get your business online คือ การเข้ามามีตัวตนบนโลกออนไลน์ การสามารถค้นพบได้ด้วย Search Engine ซึ่งให้เราอยู่ในผลการค้นหาได้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ Google ในการค้นหา ซึ่งการค้นพบเป็นลำดับแรกๆจะต้องอาศัยค่า Page rang คือข้อมูลและจากจำนวนการเข้าชม ซึ่งจะเป็นค่าสะสมไว้ในการค้นหา     
2.  Be found – when customer is searching คือ การสามารถค้นพบได้จากการค้นหาเป็นลำดับแรกๆ ซึ่งอาจเป็นการค้นหาเจอได้โดยทั่วไปซึ่งจะต้องทำให้ค่า Page rang สูง หรือการค้นหาเจอโดยการซื้อตำแหน่งคำค้นหา หรือการโฆษณาโดยตัวค้นหาหรือ Google Adwords ซึ่งผู้ซื้อจะมีค่าใช้จ่ายทุกครั้งลูกค้าคลิกเข้าไป
3 Be reached – show where you are คือ การสามารถค้นหาเจอได้จากแผนที่อาจผ่านทาง Google maps เพื่อระบุตำแหน่งของห้างร้านคุณ     
4 Get closer to your customers คือ การใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น โดยการผ่านทาง Google plus ทำให้เสนอข้อมูลและคุยกับลูกค้าได้ ซึ่งปัจจุบัน Googleสร้างพื้นการสนทนาแบบ Rail Conversations คือการคุยผ่าน วีดีโอConference นั่นก็คือ Google plus Hangouts เป็นการเปิดพื้นที่ในการสนทนาหลายคนพร้อมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือการนำเสนอสินค้าได้ ตลอดจนการเรียกเอกสารขึ้นมาดูหรือใบเสนอราคามาใช้ได้ อีกทั้งยังสามารถเผยแพร่ออกไปให้ผู้อื่นรับชมได้คล้ายถ่ายทอดให้รับชม     
5.  Increase your performance คือ การสร้างรายงาน โดย Google narcotic เพื่อวัดการเข้าดูแบบทันทีทันใดในขณะนั้น การตรวจสอบรายละเอียดของผู้เข้าชมเพื่อวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์     
6. Engage your customer anywhere anytime คือ การค้นหาบนมือถือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงโฆษณาเราได้ ซึ่งต้องออกแบบให้เป็น Mobile siteเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ 
7.  Go Global (AEC) คือ การเข้าถึงได้ทั่วโลก คือ Google มีความสามารถในการช่วยในด้านภาษาก็สามารถช่วยในการแปลภาษาให้เข้าใจระหว่างกันได้ ทำให้ภาษไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารด้วย Google translate
2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมายเพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ
แล้วสรุปใน Web Blog
1. Search engine optimization (SEO) แปลว่า "การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในเสิร์จเอนจิน" คือ กระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ หรือ ชื่อเว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของผลการค้นหาผ่าน เว็บเสิร์ชเอนจิน (Search Engine) ด้วย Search Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจ ข้อมูล เนื้อหา บทความ สินค้าและบริการ ที่นำเสนอผ่านเว็บไซต์ของเรา โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ (ปกติจะพยายามทำให้อยู่ในหน้าแรกของการค้นหา) คะ ซึ่งการทำ SEO นั้นจะประกอบไปด้วย การปรับปรุง-เพิ่มคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ในหน้าเว็บไซต์ การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้มีขนาดเล็ก การใช้ meta tag และวิธีอื่นๆ ควบคู่กันไป
2. Google adwords เป็นการค้นหาให้เป็นลำดับแรกๆโดยการโฆษณาให้เป็นลำดับแรกจากการค้นหา เมื่อผู้เข้าชมคลิกทุกครั้งผู้ที่จ้างก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่มีการคลิก
3.  Moment คือ การดำเนินการในขณะนั้น
4.  Search คือ การค้นหา
5.  Be found คือ การค้นพบ
6.  Global คือ ความทั่วถึง การเข้าถึงทั่วโลก
7.  First Moment of Truth คือ เมื่อเข้าไปในสโตร์ แล้วสามารถเห็นสินค้าทันที ส่วน
8.  Second Moment of Truth คือ การที่เราใช้สินค้า แล้วรู้สึกว่าสินค้านี้ตอบโจทย์ ตอบความคาดหวังของเรา
9.  Natural Result คือ ผลที่ได้ออกมาตามธรรมชาติ
       10.  Page Rang คือ หน้าหลักของเว็บไซต์นั้นๆ ที่ใช้ในการติดต่อ
       11.  Map คือ แผนที่
       12. Success คือ ประสิทธิผล การประสบความสำเร็จ
       13. Street view คือ มุมมองที่เสมือนจริง
       14. segment คือ ส่วนประกอบ
       15. Conversations คือ การสนทนา     
       16. Increase คือ การเพิ่มขึ้น      
       17. Performance คือ การปฏิบัติ      
       18. Rail time คือ การทำงานแบบตอบสนองทันทีทันใด
       19. Engage คือ การประกอบ      
       20. mobile Site เปรียบเทียบกับการโฆษณาบน website ทั่วไปนั้น คือความไม่แออัด ของโฆษณา เนื่องจากปกติแล้วในแต่ละ mobile site จะมี banner โฆษณาเพียงหนึ่งชิ้นต่อหน้า แต่บน website ทั่วไปมักจะมีหลายโฆษณา รูปแบบการโฆษณาผ่านมือถือ

สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของนักศึกษา

1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของนักศึกษา
สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟังการบรรยายเรื่อง "การทำธุรกิจและการตลาดในยุคดิจิทัล 3.0"
      Social media นับว่ามีบทบาทที่สำคัญต่อการประกอบ Electronic Commerce ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทั้งด้านกาตลาดและผู้บริโภคที่มีปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก การที่เราจะสร้างแบรนสินค้าขึ้นมาให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องรู้เรื่องรูปแบบความต้องการ องค์ประกอบต่างๆ ตลอดจนการที่จะหลอมรวมเข้ากับโลกแห่ง Socialให้ได้ ซึ่งจากประเด็นการบรรยายดังกล่าวกระผมสามารถสรุปองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ในการดำเนิน Electronic Commerce ได้ดังนี้

      Social โลกแห่งการคบหาสมาคม ติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น Social media นั้นมีส่วนสร้างแบรนสินค้าใหม่เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบัน media ที่จะนำมาใช้สร้างสินค้าใหม่นั้น  มีด้วยกัน 4 ประเภท
      1. OWNED media  เป็นสื่อที่ผู้ประกอบการเองเป็นเจ้าของ ได้แก่ เว็บไซต์ บล็อก ซึ่งเป็นสื่อที่สร้างขึ้นมาเอง
      2.PAID Media เป็นสื่อที่เราต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อ เช่น แบรนดเนอ สปอนเซอร์ ชิฟ
      3. EARNED Media เป็นสื่อที่ลูกค้า ผู้บริโภคทั่วไปเป็นเจ้าของ เช่น เฟชบุ๊ค ทวิชเตอร์ เป็นการแบ่งปันข้อมูลพูดคุยระหว่างกัน
      4. Social media เป็นการสร้างสังคมเข้าหาลูกค้า ให้ลูกค้าได้มาพูดคุยกับเรา เพื่อหาข้อมูลความคิดเห็น แทนที่จะปล่อยให้ผู้บริโภคพูดถึงเราโดยที่เราไม่ส่วนร่วมรับรู้ด้วย ให้เราลุกขึ้นมาสังคมกับลูกค้าและตลาด ต้องสร้างตัวของสินค้าเราให้ลูกค้ามองเราในแง่ดีให้ได้

      Social media ถูกสร้างขึ้นมาจาการพูดหรือการสื่อสารปากต่อปาก โดยปัจจุบันทำได้ได้อย่างรวดเร็วโดยผ่านทางโลกสังคมออนไลน์ต่างๆ ได้อย่างทันที ซึ่งเรื่องนี้มีบทบาททางด้านการตลาด ผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปโดยการที่จะสร้างแบรนสินค้าขึ้นมาใหม่จำเป็นที่จะต้องรู้ถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
      1. Globolization Interdependence การเปลี่ยนไปในเรื่องความคิด คิดว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิออกความเห็นโต้แย้ง ไม่เห็นด้วยได้ มีอิสระในความคิดและตัดสินใจ
      2. Control of Media Customer is publisher ผู้บริโภควันนี้มีความเชี่ยวชาญในด้านความคิดเห็นต่อสินค้า อยากออกแบบสินค้าเห็นแบบที่ตนต้องการ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่รอดูข้อมูลสินค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งผู้บริโภควันนี้มีการแบ่งปันข้อคิดเห็นของตนแก่สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว
      3. Conversations generate exposure sales การพูดคุยโต้ตอบระหว่างลูกค้าเพื่อที่จะสามารถขายสินค้านั้นได้ เราต้องมีการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ ที่มีเหตุผล น่าสนใจให้ได้จึงจะสามารถทำให้ลูกค้าพึงพอใจและเกิดการตกลง
      4. Transparency – open source ปัจจุบันเป็นยุคที่ทุกอย่างเปิดกว้าง ความโปร่งใส จริงใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมมั่น เรื่องการให้เครดิตต่างๆ ของผู้มีส่วนช่วยก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างแบรนสินค้าใหม่
      5. Collaboration rules การอาศัยความร่วมมือของผู้บริโภค
      6.People use technologies to get thing that they need from each, other rather from corporations ผู้บริโภคจะอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ ในการแสวงหาข้อมูล สินค้า เพื่อตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งเขาจะข้อมูลจากการพูดเล่าของผู้บริโภคด้วยกันก่อนเสมอ ผู้บริโภคจะไม่เชื่อจากผู้ผลิตทั้งหมดก่อน เขาจะมองเห็นเป็นการโฆษณา ซึ่งเขาจะเชื่อจากผู้บริโภคที่คุยบอกกันเองมากกว่า
 2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมาย เพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ แล้วสรุปใน Web Bblog
1.            Social network    คือสังคมแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารผ่านทางระบบเครือข่ายมีทั้งแบบออนไลน์และอนาล็อก
2.             Owned media    คือเป็นสื่อเว็บไซต์ที่เราเป็นเจ้าของเอง
3.             Paid media    คือสื่อที่เราต้องจ่ายเงินซื้อประเภท Branner, Sponser ship
4.             Earned Media   คือลูกค้าเป็นเจ้าของ โดยมีการพูดถึงธุรกิจกับลูกค้าด้วยกัน
5.             Social Media   คือเจ้าของธุรกิจเป็นผู้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง เสนอข้อดีของธุรกิจให้กับผู้บริโภค
6.             Change of costomer   คือการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค
7.             Reviewer   คือนักวิจารณ์สะท้อนกลับถึงข้อมูลสินค้าและบริการให้กับธุรกิจ
8.             Credit    คือการนำข้อมูลของผู้อื่นไปใช้ ทั้งภาพรูป เสียง สมควรที่จะมีการอ้างถึง
9.             Publisher   คือการกระจายข่าวด้วย Social ได้ง่ายอย่างรวดเร็วและในวงกว้าง
10.          Alway on & Control   คือผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ออนไลน์ตลอดเวลา และอำนาจ       ส่วนใหญ่อยู่ในมือผู้บริโภค
11.      Awarneness   คือการทำให้ผู้บริโภครู้จัก
12.      Involvement   คือการทำให้เกิดมีส่วนร่วมกับธุรกิจ
13.      Trial   คือมีการให้ลูกค้าทดลองสินค้า แล้วเกิดความชอบสินค้าของธุรกิจ
14.      Commitment    คือเมื่อชอบแล้วมีการบอกต่อให้กับผู้บริโภคคนอื่น
15.      Referral คือต้องทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในสินค้า และกล้าแนะนำให้ผู้บริโภคคนอื่นที่ไม่รู้จักมาใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ
16.      Entertainment Value    คือต้องมีการ Share Brand ธุรกิจ ระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน สามารถทำให้ลูกค้ามีความสุข ประทับใจธุรกิจ
17.      Change of marketing    คือการเปลี่ยนแปลงของการตลาด
18.      Transaction Marketing     คือเปรียบได้กับการซื้อมา ขายไป การแลกเปลี่ยนแบบมีสถานที่ หรือตลาดคงที่ สามารถจับต้องได้
19.      Relatioship Marketing    คือเป็นการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ แบบ One on One ลงทุนในระยะยาว ความจงรักภักดีของลูกค้าต่อธุรกิจ
20.      Collabrative Marketing    คือความสัมพันธ์การตลาดแบบ Many to Many การร่วมกลุ่มกันทำการตลาด ลูกค้ามีส่วนช่วยในการโฆษณา ออกความคิดเห็นได้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าได้ตามความต้องการ


."SO LO MO" Social Media Location

ที่ว่ามา2ตัวมันคืออะไร เกี่ยวอะไรกับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยหากันหน่อย มีคะแนนให้ด้วยครับ เขียนใส่ webblog ของ น.ศ. นะครับ

1."SO LO MO" Social Media Location  คือ สังคม แต่ไม่ใช่สังคมธรรมดา แต่เป็นสังคมออนไลน์ที่อยู่ในแอปพลิเคชั่นของ SmartPhone ที่ได้ถูกพัฒนา Application บนมือถือเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดออนไลน์ในอนาคต ถ้าสังเกตุให้ดีดี บนรถไฟฟ้าหรือตามสถานที่ต่าง ๆ จะมีคนใช้โทรศัพท์กันมากขึ้นแต่ไม่ใช่โทรศัพท์คุยนะค่ะ แต่เป็นในลักษณะเลื่อนหน้าจอเพื่อค้นหาข้อมูล อัพเดทสถานะหรือแม้แต่พูดคุยกับเพื่อนออนไลน์ เราจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตบนโลกอินเทอร์เน็ตมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกและจำนวนผู้ที่เข้ามาใช้ Application   ต่าง ๆ ผู้บริโภคมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้มากขึ้น เพราะผู้ประกอบการรวมถึงเจ้าของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ จะต้องพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นหน้าเว็บไซต์ของตัวเองปรากฏอยู่ในมือของผู้บริโภคให้มากที่สุด และยิ่งมากเท่าไหร่โอกาสที่จะได้เขามาเป็นลูกค้าของเราก็มากขึ้นเท่านั้น
2. ZMOT   หมายถึง  เจ้าของหรือลูกค้าที่ได้ลองใช้สินค้านั้นๆ แล้วนำสรรพคุณมาบอกหรือโพสต์ในเว็บไซต์เพื่อเป็นการโฆษณาให้ผู้ที่สนใจได้ลองเข้ามาดูสินค้านั้นๆ ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งซื้อทางเว็บไซต์หรือไปที่ร้านค้าจริง เนื่องจาก การเติบโตของโลก Social Network และเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างเป็น SmartPhone แหล่งข้อมูลที่หาได้ง่ายและสะดวก

ให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเด็นต่อไปนี้ แล้วแสดงความคิดเห็นและตอบคำถามจากประเด็นปัญหาต่อไปนี้


ให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเด็นต่อไปนี้ แล้วแสดงความคิดเห็นและตอบคำถามจากประเด็นปัญหาต่อไปนี้
1. สาเหตุใดที่ทำให้ธุรกิจ Ecommerce ในประเทศไทย ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
           1. การลอกเลียนแบบ เป็นการทำธุรกิจตามคนอื่นที่ทำอยู่ก่อนแล้ว เห็นทำเว็บก็ทำตาม เช่น บรรดาพอร์ทัลไซต์ทั้งหลาย ซึ่งที่เห็นหลายรายก็ทำตามทุกอย่าง ไม่มีส่วนใดต่อยอดให้ดีขึ้นเลยก็มี ซึ่งความจริงแล้วการลอกเลียนแบบอาจจะนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เพียงแต่ใช้หลักการเดียวกันเท่านั้น หรือก็อาจจะใช้กับกลุ่มเป้าหมายเดียวกันได้ หากกลุ่มเป้าหมายนั้นมีจำนวนมากพอ หรือมากขนาดที่ เว็บไซต์ที่มีอยู่เดิมไม่สามารถที่จะรองรับได้
           2. การอยู่กับความฝัน เป็นการอาศัยแนวความคิดแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติให้เห็นจริง หรือทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ แนวคิดแรก ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริงเลย ก็ไปทำแนวคิดที่สองแล้วเป็นอย่างนี้เรื่อยไป อย่างนี้ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ
           3. ทำเว็บไซต์ที่วิจิตรสวยงาม การทำเว็บไซต์ให้สวยงาม เน้นความเลิศหรูจนลืมแก่นแท้ของความต้องการผู้ใช้เว็บหรือกลุ่มเป้าหมายไป กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่กระบวนการที่จะให้บริการลูกค้าผู้ใช้เว็บอย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ก่อนที่จะไปตกแต่งโฮมเพจให้สวยงาม
           4. ทำเว็บไซต์แบบไร้ทิศทาง การทำเว็บไซต์ที่นึกอะไรได้ก็ทำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้นึกถึงความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์กัน อันจะก่อให้เกิดคุณค่าสูงสุดแก่ผู้ใช้งาน การทำเว็บไซต์ที่ดีนั้น หลักการคือต้องทำให้เกิดการเสริมกัน หรือ synergy คือทุกอย่างต้องเกื้อหนุนและมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน หรือในลักษณะครบวงจร (one-stop service) มาที่นี่ที่เดียวได้ครบหมดทุกอย่าง
           5. ไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอ การไม่มีระบบสนับสนุนพื้นฐานที่เพียงพอ คือเป็นประเภท ที่ได้แต่คิด แต่อาจจะไม่ได้มองว่า ระบบหรือเทคโนโลยีสนับสนุนหรือไม่ พอทำไปแล้วครึ่งทางถึงได้รู้ว่า มันไม่มีซอฟต์แวร์หรือเครือข่ายสนับสนุนได้อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ได้จัดหาทั้งคน ทั้งระบบ ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เตรียมพร้อมไว้ สำหรับการรองรับการขยายตัว ทำแล้วขยายตัวไม่ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการขยายตัวเพื่อเข้าสู่จุดคุ้มทุนและทำกำไร ซึ่งในสภาพเช่นนี้ไม่มีทางเลือกที่ท่านจะประสบความสำเร็จ
           6. ทำงานได้ทีละอย่าง การทำงานได้ทีละอย่าง คือไม่สามารถจัดการกับการงานได้พร้อม ๆ กันหลายงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการบริหารโครงการธุรกิจบนเว็บที่เราต้องทำงานได้หลาย ๆ รูปแบบในเวลาเดียวกัน จะทำที่ละเรื่องเมื่อเสร็จแล้วค่อยทำอีก เรื่องนี้จะไม่ทันกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาโดยตลาดจากทุกมุมโลก
           7. คิดเล็กเกินไป การดำเนินธุรกิจบนเว็บ นั้นถ้าหากคิดเล็กเกินไป ทำให้โครงการที่ทำออกมาไม่สามารถที่จะต่อยอดและขยายตัวออกไปได้ ทำให้ไม่สามารถจะสร้างยอดขายจำนวนมากให้คุ้มทุนได้ ทั้งนี้เพราะตลาดบนเว็บนั้นมันมีขนาดใหญ่มหาศาล ดังนั้นต้องคิดการใหญ่ มีการกำหนดทิศทางที่จะเติบโตไว้ด้วย
2. ถ้าอยากจะให้ระบบการขายสินค้าในรูปแบบ E-commerce ในประเทศไทยประสบความสำเร็จ น.ศ.คิดว่าควรจะต้องประกอบด้วยปัจจัยใดบ้าง
          1. กล้าตัดสินใจ ประการแรกที่ต้องทำคือ ค้นคว้าหาข้อมูล สร้างจินตนาการ กลั่นกรองความคิด หาช่องทางและโอกาสเมื่อมองเห็น จงกล้าตัดสินใจดำเนินการ เพราะธุรกิจนี้ใช้เงินน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเปิดร้านขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า หรือตึกแถวทั่วไป และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การขายสินค้าบนเว็บนี้ สามารถขายให้คนได้ทั่วโลกและมีอากาศทั้งค้าปลีก ค้าส่ง และค้าส่งออกเป็นล็อตใหญ่ ฉะนั้น เมื่อเห็นโอกาสจงอย่ารีรอเป็นอันขาด
          2. หน้าที่หลักของท่าน คือ การคิดเรื่องการตลาด เมื่อตัดสินใจแล้วหน้าที่หลักคือ การวางแผนการตลาด คือจะขายให้ใคร ความต้องการและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นอย่างไร จะวางตำแหน่งสินค้าอย่างไร จะต้องพัฒนาสินค้าอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้น จะตั้งราคาสินค้าเท่าใด จะขายผ่านช่องทางใด ตรงไปที่ผู้นำเข้า พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีกหรือผู้บริโภคโดยตรง และจะประชาสัมพันธ์เว็บ หรือมีรายการส่งเสริมการขายอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าการมีเทคโนโลยีดี ๆ ด้วยซ้ำ
          3. โปรแกรมด้าน e-commerce มีความพร้อมให้ใช้งานอยู่แล้วสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีให้ใช้โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น www.ecombot.com ซึ่งมีระบบครบถ้วนสมบูรณ์อยู่แล้ว ทั้งหน้าร้าน หรือออกแบบเว็บเพจให้มี ระบบออนไลน์แคตาล็อค ระบบตระกร้า หรือ shopping cart ระบบรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแบบ real-time ระบบติดตามผลการขาย ระบบออกรายงานขาย ระบบลงทะเบียน search engines เป็นต้น ฉะนั้น หน้าที่ของท่านก็เพียงแต่นำเอาข้อมูลสินค้า ราคา รูปภาพที่เตรียมไว้แล้วป้อนเข้าสู่ระบบเท่านั้น ก็สามารถเปิดใช้งานได้ทันที
          4. ใช้งบประมาณลงทุนน้อย เงินลงทุนที่ใช้เพียงค่าสมาชิกอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ โมเด็ม และค่าโปรแกรม e-commerce นอกจากนี้ยังมีการซื้อโปรแกรมระบบ e-commerce ในอัตราเดือนละไม่ถึง 500 บาท ก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่หากท่านไม่มีคอมพิวเตอร์ โมเด็ม และไม่ได้เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ต เลยก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนี้ ค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ประมาณ 25,000 บาท ค่าโมเด็ม ประมาณ 3,000 บาท และค่าสมาชิกอินเทอร์เน็ตประมาณเดือนละ 500 บาท หรือรวมเบ็ดเสร็จแล้วลงทุนทั้งหมดอยู่ในราว 30,000 บาท
          5. เร่งงานให้เสร็จตามกำหนด เวลาในการลงมือทำงานแล้ว สิ่งสำคัญต้องเร่งทำเดินงานให้เสร็จทันตามเวลา ไม่ควรเรื่องมาก หรือเขียนคิ้วทาปากให้กับเว็บ ทำการทดสอบสินค้าและราคาก่อน เพราะสาระสำคัญทางการค้ายังมีเรื่องที่ต้องทดสอบอีกมาก และก็ไม่มีใครสนใจความสวยงามของเว็บท่านมากนัก เพราะเขามาซื้อสินค้าไม่ใช้มาซื้อเว็บของท่าน อย่าลืม "เรียบง่าย ดูดี น่าเชื่อถือ" เป็นสำคัญ